สรุปบทสัมภาษณ์ FF Type-0 จากอาร์ทบุ๊คของเกม

บทสัมภาษณ์คุณ ฮาจิเมะ ทาบาตะ ผู้กำกับ Final Fantasy Type-0

เนื่องจากเนื้อหายาวมาก ผมจึงสรุปเป็นข้อๆ เหมือนเดิมครับ

แนวคิดเบื้องหลัง Type-0

- ตัวเกมต้องการเล่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งความอยู่รอด สมัยที่เกมนี้ถูกพัฒนาลงบนมือถือ ทีมงานได้คิดจะใช้ระบบเชื่อมวันเวลาตามจริงเข้ากับความคืบหน้าของเกม กล่าวคือวันที่เริ่มเล่นเกมก็จะปรากฏลงในปฏิทิน แล้วพอเกิดเหตุการณ์หรือการต่อสู้ขึ้น ก็จะมีการระบุลงในปฏิทินนั้นตามวันเวลาจริง ราวกับว่าผู้เล่นได้ใช้เวลาจริงกับเวลาในเกมร่วมกัน

- หากเล่าเรื่องผ่านตัวละครตัวเดียว ก็จะไม่เหมือนการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ จึงคิดว่าถ้าเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลายตัวที่อยู่ในช่วงยุคนั้น ก็น่าจะดีที่สุด จึงเป็นที่มาของกลุ่มคลาส 0

- ตัวเกมได้แรงบันดาลใจจากโชว์ Centuries of Picture ของ NHK ในระหว่างปี 1995-1996 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 70 ปีของ NHK โชว์ดังกล่าวประกอบด้วย 11 ส่วนด้วยกัน และก็เป็นภาพความทรงจำ แสดงความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ สังคม และสงครามโลกตลอดศตวรรษที่ 20

- เพลง Zero ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Is Paris Burning? ซึ่งเป็นธีมหลักของ Centuries of Picture ซึ่งคุณทาบาตะก็เอาเพลงนี้ให้ทาง Bump of Chicken ฟังเพื่อถ่ายทอดคอนเซตป์ก่อนจะแต่งเพลงออกมา

- ในการสร้างบุคลิกและนิสัยให้กับตัวละครทั้ง 14 ตัว ตอนแรกทีมงานก็ตั้งต้นขึ้นจากนิสัยพื้นฐานของตัวละครทั่วไปที่คุณโนมุระออกแบบมา จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มรายละเอียด ความแตกต่างลงไป

- นิสัยของตัวละครค่อยๆ ถูกต่อเติมไประหว่างการพากย์เสียงด้วย อย่างเช่น ในการพากย์เสียงไนน์ ในประโยคธรรมดาทั่วๆ ไปมันฟังดูไม่จี๊ด แต่พอไนน์คำรามตามว่า "โคร่าาา" หรืออย่างแจ็คที่ชอบลากเสียงยาว ซิงค์ที่พูดจาแบ๊วตลอด มันก็ทำให้ทีมงานฉุกคิดขึ้นว่า "หรือว่าตัวละครนี้มันควรจะเป็นแบบนี้นะ?" ไปๆ มาๆ นิสัยของไนน์ แจ็ค ซิงค์ จึงเปลี่ยนไปจากที่ออกแบบไว้ตอนแรก

- ตอนแรกทีมงานทำให้ดิวซ์สามารถเอาฟลุตฟาดศัตรูในระยะประชิดได้ แต่พอถึงเวลาทดลองเล่น ทุกคนที่เล่นดิวซ์ก็แห่กันหยิบฟลุตไปฟาดศัตรูหมด ไม่มีใครใช้ฟลุตเป่าเพลง ทีมงานเลยรู้สึกว่าพลาดซะแล้ว... มันไม่ควรจะออกมาเป็นแบบนี้เลย พวกเขาเลยเอาคำสั่งฟาดออกไป และทำให้เธอซัพพอร์ทคนอื่นได้ดีขึ้น

- ส่วนท่าเขวี้ยงการ์ดโจมตีของเอซ ตอนแรกมีแต่คนคิดว่ามันแปลก ทีมอนิเมชั่นเองก็ยังมึนกับความคิดนี้ แต่พอทำไปทำมาให้มันลงตัวมากขึ้น หลายขึ้นถึงเริ่มพูดกันว่า "เออ เท่ว่ะ!" หรืออย่างท่าจัดกระโปรงให้เข้าท่าของซิงค์ ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเหมือนกัน (อารมณ์ประมาณว่า คิดได้ไง!?)

เจาะลึกไปถึงปริศนาที่ยังไร้คำตอบ

- เดิมทีคลาส 0 ทั้ง 16 คน (รวมทิซและลีน) ไม่ได้เป็นคนๆ เดียวกัน คุณลักษณะทั้ง 16 ตามที่บัญญัติในคัมภีร์นิรนามเป็นองค์ประกอบของอากิโตะที่อเรเซียต้องการจะสร้างขึ้นมา เธอพบว่าองค์ประกอบเหล่านั้นแยกกันอยู่ในตัวของเด็กๆ แต่ละคน เธอจึงรวบรวมเอซและพวกคนอื่นๆ ที่มีองค์ประกอบของอากิโตะเข้ามาเลี้ยง

- ตอนเขียนบททีแรก ทิซและลีนจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเนื้อเรื่องของโลกใหม่ (หลังฉากจบเกมที่เราเห็นไป) ทว่าในขั้นสุดท้ายของการกำหนดขอบเขตของเกม ทีมงานก็ตัดสินใจว่าจะเน้นไปที่เรื่องราวของอีก 14 คนแทน แต่อย่างน้อยเราก็ยังใส่เรื่องของทั้งสองลงไปในคัมภีร์นิรนาม เพื่อไม่ให้เรื่องราวของพวกเขาถูกลืม อเรเซียเห็นว่าทั้งสองจำเป็นในการสร้างอากิโตะ และให้ทั้งสองรับบทสนับสนุนอีก 14 คน พูดอีกนัยหนึ่ง ทั้งสองคือคนที่สนิทกับอเรเซียมากที่สุด และทุกครั้งที่คริสตัลเริ่มวัฏจักรใหม่ ความทรงจำของทั้งสองจะยังคงอยู่ ต่างจากคนอื่นๆ ที่ความทรงจำถูกลบทิ้งไป

- ที่ลีนพูดว่ามาคิน่าเป็นตัวเขาอีกคน ไม่ได้แปลว่าทั้งสองเป็นคนเดียวกัน แต่ทั้งสองรับบทเหมือนกัน คือบทในการทำให้วิญญาณของคลาส 0 อีก 12 คน (ไม่นับมาคิน่าและเรม) เติบโตขึ้น แถมลีนยังมีทิซคอยสนับสนุน เช่นเดียวกับมาคิน่าที่มีเรม

- คัมภีร์อาคาช่า เป็นทั้งการเปิดเผย เป็นทั้งคำทำนาย แท้จริงแล้วมันคือบันทึกย่อประวัติศาสตร์ที่ซ้ำไปมาทุกวัฏจักรของโอเรียนซ์ ซึ่งเนื้อหาของมันไม่ได้มีการเปิดเผยในเกม แต่ผู้ปกครองสุซาขุต้องสืบทอดหน้าที่ในการเก็บรักษาบันทึกประวัติศาสตร์นี้ไว้ให้ลึกลับดำมืดที่สุด มาตลอดทุกรุ่น

- ส่วนคัมภีร์นิรนาม เป็นคัมภีร์บอกตำนานฟาบูล่าให้แก่ชาวโอเรียนซ์ ไม่มีใครทราบตัวผู้เขียน และไม่มีใครรู้ว่ามันถูกเขียนขึ้นเพราะเหตุใด ทว่าอดีตและอนาคตของอเรเซียถูกเขียนไว้ในคัมภีร์นี้ แน่นอนว่าอเรเซียไม่ได้เขียน และไม่ได้สั่งให้ใครเขียนขึ้นมา

- การที่คริสตัลลบความทรงจำเรื่องของผู้ตายออกไป ทำให้คนเราไม่กลัวตาย ไม่กลัวที่จะฆ่าใคร ผู้คนก็จะเดินหน้าต่อสู้ทำสงครามกัน ทุกครั้งที่ตาย วิญญาณก็จะสูงส่งยิ่งขึ้น สภาวะแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออเรเซียและคริสตัล ซึ่งมันไม่ใช่โลกที่ดีนัก

- คริสตัลประจำ 4 ชาติ ถูกสร้างโดยอเรเซียเอง ถ้าพูดกันตามตำนานฟาบูล่าแล้วคริสตัลนี้ก็เปรียบได้กับฟัลซิ (สาปและมอบภารกิจให้ลูซิเหมือนกัน) เดิมทีแล้วกะว่าจะให้มีการเปิดเผยในเนื้อเรื่องว่าแท้จริงแล้วพวกมันก็คือฟัลซิ นั่นจึงหมายความว่าอเรเซียเป็นองคภาวะที่สูงยิ่งกว่า ที่สามารถสร้างฟัลซิได้

- ตัวคริสตัลยังเหมือนฟัลซิอีกคือ มันมีเจตจำนงค์ มีประสงค์ของมัน ซึ่งประสงค์ของมันคือการเพิ่มปริมาณดวงวิญญาณของผู้ตายตามที่อเรเซียต้องการ ในตอนท้ายของเรื่องมันก็ไม่เหลือจุดประสงค์อีกต่อไป จึงค่อยๆ ยุติการทำงานและสูญเสียพลังไป

- คริสตัลในเกมนี้ไม่มีวันแตก และไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในวัฏจักร ต่อให้แตกกระจายไป มันก็จะกลับมาใหม่ได้ด้วยตัวมันเอง

ความจริงเกี่ยวกับฉากจบ

- ฉากจบเกมถูกสร้างให้มีความสัมพันธ์กับฉากเปิดเกม เมื่อได้มาดูฉากเปิดเกมใหม่ก็จะได้รับความประทับใจที่แตกต่างไปจากตอนดูรอบแรก อย่างเช่นตอนแรกอิซานะตายอย่างทุกข์ทรมาน แต่ตอนจบพวกคลาส 0 ยอมรับความตายอย่างสงบ ในตอนแรกเอซพูดว่า "ผมอยู่ที่นี่แล้ว" และตอนจบพูดว่า "พวกเราอยู่ที่นี่" ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกวางแผนไว้ให้เป็นแบบนั้น

- ยิ่งใกล้จบ ตัวละครยิ่งตายเอาตายเอา การตายของคลาส 0 ก็เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ตั้งแต่ขั้นออกแบบเกม เพราะธีมของเนื้อเรื่องคือ "จงตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ก่อนที่จะตาย" ที่ต้องทำให้ตายกันเยอะๆ ก็เพื่อสร้างผลกระทบต่อเนื้อเรื่องให้มากที่สุด และให้สอดคล้องกับพล็อตของโลกอันอ้างว้างที่โดนลูลูซัสกวาดล้าง

- การตายของคาโทรนั้น เขาเป็นคนที่ต่อสู้มาทั้งชีวิต เขาอาจจะเลือกตายไปพร้อมกับศัตรูก็ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกตายเพื่อปกป้องเมืองเอาไว้แทน

- ส่วนการตายของอาเรีย แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยมาก แต่ในเมื่อเธอเลือกที่จะอยู่กับศัตรู ก็ย่อมจะถูกคิดว่าเป็นสปาย ผลลัพธ์ที่ออกมา (โดนพวกเบียกโคฆ่า) ก็สมจริงแล้ว

- ในตอนท้ายที่เอมินะถูกจับได้ว่าเป็นสายมาจารกรรมข้อมูล เธอย่อมต้องเจอโทษประหารชีวิต

- ส่วนคาเลียนั้น เขาปรากฏตัวในฉากจบแบบแรกที่ทีมงานสร้างขึ้น แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อเรื่องที่ว่าตอนที่ลูลูซัสออกอาละวาด เจ้าตัวได้หนีลงไปซ่อนในใต้ดิน ตามความคิดของคุณทาบาจะ คาเลียจึงน่าจะตายไปแล้ว

- ส่วนคาสึซะ หมอนี่รอดชีวิต ตอนจบยังโผล่มาช่วยฟื้นฟูโซวริวขึ้นใหม่เลย (เป็นไอเดียของคุณนาโอโยชิ)

- พวกผู้บริหารของสุซาขุ ตายเรียบระหว่างการรุกรานของลูลูซัส

- ในตอนจบเกมที่มีหน้ากากของนิมบัสปรากฏขึ้น หลังจากอเรเซียจากไปแล้ว คริสตัลก็หยุดทำงานและอ่อนแอลง เป็นไปได้ว่านิมบัสอาจฆ่าตัวตาย หรือหมดพลังแล้วตายไปเอง

- พวกลูซิโซวริว กิลก้าแมช อาโทร่าเองก็เช่นกัน ค่อยๆ สูญเสียพลังและตายไปพร้อมคริสตัล

- ในตอนจบที่มาคิน่ากล่าวถึงการฟื้นฟูโลกขึ้นใหม่ด้วยลมและน้ำ หมายถึงแหล่งพลังงาน มาคิน่าไม่มีความรู้ในการสร้างกังหันลม ทว่าเมื่ออารยธรรมที่สร้างขึ้นโดยคริสตัลล่มสลายไปแล้ว เขาจึงแนะนำให้มนุษย์สร้างอารยธรรมขึ้นใหม่ด้วยพลังของมนุษย์เอง โดยการเอาพลังงานพวกนี้มาใช้

- ตอนจบเกมที่มาคิน่าได้เสียชีวิตโดยมีภรรยาดูแลอยู่ข้างกาย ที่เขียนแบบนั้นก็ตั้งใจให้หมายถึงเรมน่ะแหละ แต่ที่ไม่เขียนชื่อเรมลงไปตรงๆ ก็เพราะต้องการพ่วงความหมายแฝงลงไปด้วย กล่าวคือในบทสุดท้ายของคัมภีร์นิรนาม มีการกล่าวถึงรอยยิ้มของเอโทร ตอนแรกเราก็ใส่รอยยิ้มของเอโทรลงไปในฉากนี้ด้วย เทพธิดาเอโทรเป็นผู้สร้างมนุษย์ และเธอก็ได้ดูแล แสดงความห่วงใยมาคิน่าผ่านตัวของเรม นั่นคือภาพที่เราคิดไว้ ดังนั้นเราจึงเลี่ยงที่จะเขียนชื่อเรมลงไปตรงๆ ด้วยเหตุนี้

การพัฒนาเนื้อเรื่อง

- คุณทาบาตะเป็นคนรับผิดชอบเนื้อหาในส่วนของสงคราม ความคืบหน้าในการต่อสู้ ส่วนทีมเขียนบทคนอื่นก็เขียนองค์ประกอบให้สอดคล้องกับตำนานฟาบูล่า ทั้งการแข่งขันพัฒนาอาวุธระหว่างเบียกโคกับสุซาขุ การประกาศหยุดยิงชั่วคราว เรื่องเหล่านี้มาจากองค์ประกอบทางการเมืองตามความเป็นจริง

- เดิมทีมีการเขียนบทให้มีอีกทวีปหนึ่งอยู่ทางตะวันตกซึ่งครอบครองคริสตัลดำไว้ ชื่อทวีปนั้นคือคำว่าตะวันตกในภาษาลาติน กองกำลังสันนิบาตแห่งโอเรียนซ์จะเข้าจู่โจมทวีปดังกล่าว เหมือนกับการบุกนอร์มังดีในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทหารอังกฤษกับอเมริการ่วมมือกัน 3 ล้านคน) พอคลาส 0 รู้ความจริงเรื่องแผนของคาเลียและซิดแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดของตนเอง แทนที่จะต่อสู้ไปเพราะมูลเหตุทางการเมือง ทหารในทุกประเทศก็เช่นกัน โดยบทกำหนดให้ซิดที่มีอำนาจสูงสุดในโอเรียนซ์เป็นคนพาบุกไปสู้กับทวีปตะวันตก ทว่าระหว่างสงครามกองทัพของโอเรียนซ์ก็ตายกันเกือบหมด และคลาส 0 ก็ได้ไปต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกันที่กองบัญชาการของศัตรู บทนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งคุณทาบาตะจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว แต่จำได้อีกนิดว่าตอนจบมีฉากที่เด็กคนหนึ่งเกิดขึ้นมาใหม่

- เด็กที่เกิดใหม่เป็นลูกของพวกตัวเอก โดยเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่การกระทำของผู้เล่น และยังมีความคิดที่จะให้เด็กคนนั้นเป็นอากิโตะที่แท้จริงด้วย ตอนแรกการเป็นอากิโตะก็คือการเพิ่มพลังชีวิต ด้วยการผลักดันขีดจำกัดของชีวิตให้ไกลออกไป (ไม่ใช่การดูดแฟนโธม่า) ตอนที่มนุษย์เกิดขึ้นมาคริสตัลก็ถ่ายทอดพลังออกไปให้กับมนุษย์ โดยมนุษย์ที่สามารถเดินทางระหว่างโลกที่มองเห็นกับโลกที่มองไม่เห็น (โลกเวอร์ชั่นอดีต/โลกในวัฏจักรก่อนๆ) ก็คืออากิโตะ นั่นคือพล็อตในตอนแรก..... ไปๆ มาๆ ไอ้พล็อตนี้ไม่ได้ใช้ มันเลยกลายเป็นตำนานไปแทน

- ตัวละครสวมหน้ากาก ที่ออกแบบอาวุธมาด้วยแล้ว (กาล่า) เดิมทีกำหนดให้เป็นตัวละครจากทวีปตะวันตก และต้องสู้กับพวกคลาส 0 แต่เนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนไป และสเกลของเกมก็ถูกตัดให้เล็กลง แต่เรายังจำเป็นต้องให้เขาช่วยสรุปเนื้อเรื่องบางส่วนให้ (ตามที่โผล่ในฉากจบ) แต่เราไม่ค่อยได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับเขา จึงกลายเป็นบุคคลปริศนาไป

- ตอนแรกเคยมีพล็อตจะให้สู้กับอเรเซียซึ่งเป็นผู้สร้างโอเรียนซ์ในตอนจบของเกม แต่ก็มีการถกเถียงกันถึงพล็อตนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็หาเหตุผลดีๆ ที่จะให้สู้กับอเรเซียไม่ได้เลย

- ทั้งทีคาเลียรู้ถึงเจตนาของอเรเซียอยู่แล้ว แต่ก็ยังยอมทำตามอเรเซีย ทีมงานเคยคิดจะให้เขาเป็นผู้นำของลูลูซัสด้วย แต่บทในทิศทางนี้มันมึนงงเต็มไปด้วยคำถาม เลยไม่เอา

- ทีมงานบางคนคิดว่าถ้ามีบทจีบนักเรียนหญิงในเกมด้วยก็คงดี แต่นั่นมันจะไปเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวละคร คุณทาบาตะก็เลยไม่เอาไอเดียนี้ แต่ไปจัดเต็มในฉากจบลับแทน

- ฉากจบลับที่เอธชอบเคท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกหลักของเกม มันเป็นแค่การสมมติ ตามชื่อคลิปเลย ("สมมติ..ว่า")

- เพลงในฉากจบลับชื่อ Colorful Fall in Love คุณทาบาตะบอกให้คนแต่งเพลงค่อยๆ ไปทำมาให้เซอร์ไพรซ์พวกเขาให้ได้ แล้วเพลงนี้ก็ทำให้เขาเซอร์ไพรซ์ได้จริง และคิดว่าคงเซอร์ไพรซ์ทุกคนได้ด้วย โดยนักร้องที่ร้องก็เป็นนักพากย์หญิงหน้าใหม่ที่คุณอิชิโมตะ (ทาเคฮารุ อิชิโมโตะ) ผู้ประพันธ์เพลงไปเจอเข้า ไม่ใช่เสียงของตัวละครใดในเกม

จากนี้และต่อไปของ Type-0

- ผู้เล่นมากมายชอบคุราซาเมะ และมีผู้เล่นมากมายที่ไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะอย่างลูซิและเพอริสเตอเลียม เขาคิดว่าน่าจะอธิบายให้ดีกว่านี้ และหวังว่าผู้เล่นจะปลื้มกับฉากจบเกม แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่บอกเนื้อเรื่องบทสุดท้ายดำเนินไวเกินไป และฉากจบเกมก็ช่างน่าเจ็บปวด... ซึ่งคุณทาบาตะ ก็ไม่ได้อยากให้มันดูเศร้าเป็นโศกนาฏกรรมแบบนั้น

- พวก Type-0 ได้พยายามทำสิ่งที่พวกเขาเชื่อจนวาระสุดท้าย พวกเขาไม่ได้คิดจะให้ตัวเองต้องตาย แต่พวกเขาตัดสินใจที่จะสู้และยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมา แล้วพวกเขาก็ปกป้องโลกเอาไว้ได้ ความตายของพวกเขาเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่นั่นคือหนทางในการช่วยโลก

- เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ตัวละครหญิงโชว์กางเกงในได้ แต่ในเมื่อมันเป็นเกมแอ็คชั่น ก็ต้องให้อิสระในการเคลื่อนไหวแก่ตัวละครและมุมกล้อง มันจึงเป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยมีการใส่โมชั่นให้ตัวละครพยายามซ่อนส่วนที่ไม่อยากให้เห็นเอาไว้ อยากให้ผู้เล่นสังเกตที่การเคลื่อนไหวเหล่านั้นมากจะไปจ้องดูกางเกงในของแต่ละคน

- ส่วนเรื่องความเซ็กซี่ของศิวะและเอมินะ อันนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจ เพราะมันก็ไม่ได้ขัดความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือศีลธรรมจรรยา ขณะที่การส่องกางเกงใน มันไม่ใช่เรื่องที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

- คุณทาบาเตะเองก็อยากให้เกมมันออนไลน์ได้ในตัวมันเอง แต่ความเป็นจริงมันยากกว่าที่คิด ทำไม่ได้ และเสียใจที่ทำไม่ได้

- ตอนที่เกมเริ่มวางจำหน่าย ทีมงานก็สนุกสนาน ครื้นเครงดีใจที่เห็นคนเล่น Multi-player ทาง Adhoc-Party กันมาก แต่จากนั้นก็เริ่มเห็นคนตั้งห้องที่เรียกว่า "ห้องปูริน" ซึ่งมีปูรินเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันก็มีห้องแบบเดียวกันนี้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด กระทั่งในที่สุดห้องเกือบทั้งหมดใน Adhoc-Party มีแต่ห้องตีปูริน ซึ่งทีมงานไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ คุณทาบาตะคิดว่าเล่นแบบนี้ไปมันก็ไม่สนุกหรอกน่า (วันหลังก็อย่าตั้งรางวัลสูงสุดไว้ที่ SPP 1.5 ล้านเซ่!) แต่มันก็เป็นความจำเป็นในการปั๊มตัวละคร เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทำ Open Beta test สำคัญมากขนาดไหน

- เนื้อหาของภาคการ์ตูนและนิยาย ถูกตรวจสอบก่อนโดยทีมเขียนบท ตัวคุณทาบาตะเองมีเช็คคร่าวๆ เป็นครั้งคราว เขาก็อยากให้เขียนได้อย่างอิสระตามใจ คุณทาบาตะได้ยินเขาว่ากันว่าภาคนิยายนั้นเนื้อหาน่าสนใจมาก จากที่ฟังมาคือภาคนิยายเป็นเรื่องราววัฏจักรในอดีตที่แตกต่างไปจากวัฏจักรปัจจุบัน และผู้อ่านก็จะได้ค้นพบเหตุผลที่มาคิน่ากลายเป็นคนแบบที่เรารู้จักกัน

*อ่านได้ตามลิงค์นี้ : http://ffplanet.exteen.com/20120910/final-fantasy-type-0

- คุณทาบาตะ ยินดี เต็มใจที่จะให้เนื้อเรื่องมันขยายออกไปมากกว่าแค่เนื้อหาในเกม ทีมเขียนบทเองก็ชอบในเรื่องราวของคุราซาเมะภาคการ์ตูน ตราบใดที่ไม่มีผลกระทบด้านลบต่อภาพรวม ก็เขียนกันไปเลย

- คุณทาบาตะมีคิดคอนเซปต์เนื้อเรื่องต่อยอดในอนาคตไว้แล้ว แต่ถ้าใครอยากจะแต่งเนื้อหาภาคเสริมเป็นอดีตของคาเลีย หรือเรื่องของมนุษย์หน้ากากปริศนา ก็เอาเลย เขายินดีให้ทุกคนใช้ Type-0 เป็นรากฐาน

- คุณทาบาตะเคยให้ทีมงานทดลองทำ Type-0 เล่นบน HDTV กันเป็นการภายใน แต่ก็ไม่มีแผนจะทำออกมา

- ระหว่างการพัฒนา Type-0 คุณทาบาตะรู้สึกว่ามันน่าจะทำลงบนเครื่องเกมสเปคสูง ถ้ามีภาคต่อเมื่อไหร่ มันก็ควรจะลงให้กับเครื่องเกมดีๆ บางส่วนของโลกก็จะถูกนำมาใช้สานต่อ เขาคงไม่ทำให้มันเป็นคนละโลกกันไปเลย แต่ถึงกระนั้นก็ต้องทำให้คนที่ไม่เคยเล่น Type-0 มาก่อน เล่นรู้เรื่องได้ด้วย

- คุณทาบาตะอยากทำเกมที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีก แต่ในเมื่อ Type-0 ทำโลกที่เป็นนิยายไปแล้ว คราวต่อไปก็อยากทำโลกที่อิงความจริง ไม่ใช่นิยายดูบ้าง ส่วนแนวเกมนั้นไม่สำคัญ ยังไงก็ทำได้หมด

ที่มา : http://type0.haloandwingsstudio.com/tabata/

ไม่มีความคิดเห็น