บทสัมภาษณ์วาตานาเบะ ไดสึเกะ ถึงนิยาย Reminiscence จากแฟมิซือ

บทสัมภาษณ์วาตานาเบะ ไดสึเกะ (หน้า 30 ถึงครึ่งแรกของหน้า 32) จากนิตยสารแฟมิซือ

แฟมือซือ : นิยายนี้เขียนส่วนตัวโดยคุณวาตานาเบะ ซึ่งมีบทบาทในการเขียนสคริปต์ให้แก่ซีรีส์ FFXIII ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าคุณมาเขียนนิยายนี้ได้ยังไง?

วาตานาเบะ : ตอนแรกผมก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคท์นี้ ตอน FFXIII และ FFXIII-2 เราขอให้คุณอิชิมะ จุน เป็นคนเขียนนิยาย แต่สำหรับภาค 3 หรือ LRFFXIII ซึ่งมีชื่อต่างจาก 2 ภาคแรก เพราะฉะนั้นเราเลยตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนสำนวนภาษาในเนื้อหานิยายด้วยเหมือนกัน ทีมงานในบริษัทก็หารือกัน แล้วผู้กำกับ คุณโทริยามะก็แนะนำว่า “ทำเป็นแบบสัมภาษณ์ตัวละครละกัน” ผมก็เลยได้มาร่วมโปรเจคท์กลางคัน ระหว่างที่พวกเขาคิดพล็อตกันอยู่

*แปลว่าพล็อตเรื่องไม่ได้คิดโดยคุณวาตานาเบะเพียงลำพัง แต่เป็นข้อสรุปของทีม FFXIII นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ได้ให้คุณจุนเป็นคนเขียนนิยายภาคนี้คือคุณจุนล้มป่วย ทำให้ต้องยกเลิกนิยายที่เชื่อมระหว่าง FFXIII-2 และ LRFFXIIII แล้วเอาเนื้อหาส่วนนั้นมาแทรกในนิยายส่งท้ายนี้แทน

แฟมิซือ : หลังจากเข้าร่วมโปรเจคท์แล้ว คุณได้มาเป็นคนเขียนได้อย่างไร?

วาตานาเบะ : ตอนที่ผมเข้าร่วม เขาก็ตกลงกันแล้วว่านิยายนี้จะเกี่ยวกับ “การสัมภาษณ์ตัวละคร” แต่ยังไม่มีการกำหนดลำดับการสัมภาษณ์ เราต้องการเนื้อเรื่องที่ปะติดปะต่อ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่น่าเบื่อหรือไร้รสชาติ เราเลยหารือกับบรรณาธิการฝ่ายการพิมพ์ของบริษัท แล้วกำหนดลำดับการสัมภาษณ์กับพล็อตเรื่องได้ลงตัว ผมก็หลงคิดว่าเราจะขอให้นักแต่งนิยายมืออาชีพเป็นคนเขียนนิยายจากพล็อตที่เราสร้างขึ้น แต่แล้วผมก็โดนตอกว่า “ไม่ล่ะ วาตานาเบะนั่นแหละเป็นคนเขียน” ผมเลยตอบไป “ว่าไงนะ!? ผมเป็นแค่คนตรวจก็พอไม่ใช่เหรอ? ผมต้องเขียนด้วยเหรอ!?” (หัวเราะเจื่อน ๆ) “ซวยแล้ว... ถ้าต้องถูกตีพิมพ์ออกไป ผมก็ต้องเขียนให้มันสมกับที่ถูกเรียกว่านิยายน่ะสิ” ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น ผมเลยขอให้บรรณาธิการมาช่วยดูแล ผมไม่ได้ทุ่มเทเขียนอะไรแบบนั้นมานานมากแล้วล่ะ (หัวเราะ)

แฟมิซือ : ก่อนที่คุณวาตานาเบะจะเข้าร่วม Square คุณเคยเขียนนิยายจากมังงะมาก่อนใช่มั้ย?

วาตานาเบะ : ใช่ครับ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เขียนอีก แต่ก็มีเขียนเรื่องสั้นลงในบทสรุปเกม Dewprism (Threads of Fate) ถึงตอนนี้ผมมีส่วนร่วมในซีรีส์ FF มายาวนาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องมาเขียนบทความในรูปแบบนี้

แฟมิซือ : หลังจากเว้นวรรคไปนาน เลยเขียนได้ลำบากรึเปล่า?

วาตานาเบะ : ใช่เลย มันยากเป็นพิเศษเพราะสำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกว่า LRFFXIII ได้จบสิ้นบริบูรณ์แล้ว! ผมคิดว่าถ้ายังปรุงเสริมเติมแต่งเนื้อเรื่องที่จบเรียบร้อยไปแล้ว มันก็คงไม่ดีแน่ ดังนั้นหากต้องตีพิมพ์ออกไปจริง มันก็ต้องเป็นอะไรที่ควรค่าแก่การเขียน คุณเคยเห็นหนังที่ใส่ฉากที่ถูกตัดทิ้งลงไปในฉากเครดิตมั้ย? มันตลกโปกฮาในตัวมันเอง แต่บางครั้งมันก็ทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับสู่โลกแห่งความจริงหลังจากดำดิ่งลงไปในหนังมา สำหรับนิยายเองก็เหมือนกัน ผมรู้ว่าถ้าผมเขียนไม่ดี มันก็จะเหมือนฉากที่ถูกตัดทิ้งเหล่านั้น ผมเลยคิดว่าผมไม่อยากให้มันเหมือนเป็นฉากที่ถูกตัดทิ้ง แต่อยากให้เป็นการพรรณนา... อยากให้มันเป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มความลึกให้กับเนื้อเรื่องได้

*จุดนี้เป็นสิ่งที่บอกว่าโปรเจคท์นิยายเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากการพัฒนา LRFFXIII จบลงแล้ว

แฟมิซือ : จริงครับ ใน LRFFXIII เราได้เห็นเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไลท์นิ่ง หลังจากทุกสิ่งทุกอย่าง “จบบริบูรณ์” และมันก็ปิดเรื่องราวทั้งหมดได้สวยแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะคิดเรื่องราวต่อจากนั้น ส่วนตัวแล้วผมสนุกกับนิยายนี้มาก เพราะมันได้ช่วยเติมสิ่งที่ยังไม่ถูกอธิบายในเกมลงไป  แต่แล้วผมก็ต้องเซอร์ไพรซ์กับฉากจบ ผมคิดว่า “อ๊ะ... ตกลงแล้วเราจะไม่ได้รู้อะไรมากกว่านี้เหรอเนี่ย”

วาตานาเบะ : ขืนผมให้ตัวผู้บรรยายเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นมากเกินไป และทำให้ไลท์นิ่งต้องพูดอะไรยาว ๆ มันไม่เพียงจะทำลายบรรยากาศของฉากจบ มันจะไม่เหมาะกับคาแรคเตอร์ของเธอด้วย ดังนั้นตอนที่ผมคิดโครงเรื่อง ผมต้องคำนึงถึงว่าจะเขียนเนื้อเรื่องยังไงไม่ให้มันก้าวก่ายไลท์นิ่งมากเกินไป (หัวเราะ)

แฟมิซือ : เข้าใจล่ะ (หัวเราะ) สมกับเป็น “ไลท์นิ่ง” จริง ๆ ผมคิดว่าผมเห็นด้วยกับบทสรุปสุดท้ายนะ ตัวละครอื่นเองก็เหมือนกัน บุคลิกและเนื้อเรื่องที่เผยออกมาก็ดูเป็นธรรมชาติสำหรับผม ซึ่งจากที่คุณเป็นคนเขียนสคริปต์ของเกมนี้ด้วย ผมก็เชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ

วาตานาเบะ : ได้ยินแบบนี้ก็ยินดี ผมจะกังวลเรื่องนี้มากเลยในตอนที่ผมเขียนสคริปต์จริง ๆ ของเกม ตัวอย่างเช่นใน FFXIII ฉากที่โฮปและสโนวคืนดีกัน โครงเรื่องในพล็อตนั้นไม่เขียนอะไรไว้เลยนอกจาก “แล้วพวกเขาก็ได้ทำความเข้าใจกัน” ผมต้องมานั่งคิดเองว่าจะให้พวกเขาลืมความบาดหมางได้ยังไง ผมเลยวิตกมาก “จะให้ตรูทำให้พวกมันเข้าใจกันได้ไงฟะ ในเมื่อความสัมพันธ์มันยับซะขนาดนี้!?”


แฟมิซือ : เข้าใจล่ะ แสดงว่าตอนที่คิดพล็อตเรื่องขึ้นมาตอนแรก ก็ยังไม่ได้มีการกำหนดว่าพวกเขาก้าวข้ามความขัดแย้งนั้นไปได้ยังไงสินะ

วาตานาเบะ : ใช่เลย และถ้าผมทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกันง่าย ๆ สถานการณ์ทั้งหมดมันก็จะดูตื้นเขิน ไม่สมจริง ดังนั้นผมเลยมีทางเดียวคือคิดว่าตัวเองเป็นตัวละครคนนั้น เข้าไปรับรู้ความเจ็บปวด และคิดว่าในสถานการณ์แบบนั้น พวกเขาจะพูดยังไงออกมา ตอนเขียนนิยายผมก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน “ไอ้งั่งคนไหนเป็นคนเขียนพล็อตให้มันซับซ้อนขนาดนี้ฟะ!?... เฮ่ย เดี๋ยว ตรูเองนี่หว่า!” ผมเขียนไปพลางก็สาปส่งตัวเองในอดีตไปพลาง (หัวเราะ)

แฟมิซือ : (หัวเราะ) เรื่องราวเริ่มจากโฮป และหลังแวะเวียนไปหาตัวละครอื่น ๆ ทั้งหมดก็กลับมาสู่โฮปอีกครั้ง การที่โฮปเป็นผู้รับบทบาทสำคัญของเรื่องนี่ เป็นความตั้งใจของคุณเสมอมาเลยรึเปล่า?

วาตานาเบะ : ช่าย  ผมวางแผนไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ใน FFXIII-2 และ LRFFXIII เขาก็อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างตามความเป็นจริง ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเลยคิดว่าไม่มีใครที่เหมาะสมจะเป็นคนขับเคลื่อนกระแสของเนื้อเรื่องไปมากกว่าโฮปแล้ว นอกจากนี้ ในบรรดาพวกพ้องของเขา โฮปก็รับบทพิเศษอยู่แล้ว ผมเลยว่าถ้าจะเริ่มต้นเนื้อเรื่องจากเขา ก็เหมาะสมแล้ว

แฟมิซือ : สำหรับไคอัสที่ไม่ได้อยู่ในโลกของคนเป็น การที่จะให้เขาปรากฏตัวในเรื่องได้ จึงจำเป็นต้องส่งตัวผู้บรรยายไปยัง “อีกฟากหนึ่ง” ใช่มั้ยครับ?

วาตานาเบะ : อือ ผมนึกภาพของฉากสุดท้ายไว้ในหัวตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แล้ว และก็คิดว่าในตอนท้ายความรู้สึกของผู้บรรยายจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะสิ่งที่เธอได้เห็นและได้ยินมาตลอดการเดินทาง ซึ่งก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง คงจะเด็ดถ้ามีตัวละครที่ให้ความรู้สึกหนักหน่วงอย่างไคอัสมาเป็นจุดเปลี่ยน และผมก็ไม่อยากให้เนื้อเรื่องส่วนของไคอัสเป็นการสัมภาษณ์ด้วย ผมลองนึกภาพผู้บรรยายถามไคอัส “ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่คะ?” แล้วไคอัสก็ตอบอย่างสุภาพ แจงรายละเอียดมาให้ถี่ถ้วน ด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของเขา “ข้าคิดแบบนั้น ข้าจึงทำแบบนี้” ....ไม่นะ ผมไม่อยากคิดอะไรแบบนั้นเลย (หัวเราะ)

แฟมิซือ : มันไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ของเขาเลยสินะ (หัวเราะ) เข้าใจละว่าเวลาเขียน คุณได้ใส่ใจกับรายละเอียด กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มีท่อนไหนส่วนใดที่น่าจดจำเป็นพิเศษ หรือเขียนได้อย่างยากลำบากสำหรับคุณมั้ย?

วาตานาเบะ : บทแรกของโฮปนั้นใช้เวลาแต่งนานทีเดียว แต่เมื่อผมสร้างจุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่องจากการสนทนากับโฮปได้แล้ว เนื้อเรื่องที่เหลือก็เดินหน้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผมก็ไม่ได้เขียนนิยายมานานแล้ว ผมเลยต้องมานึกว่าผมจะเขียนส่วนที่อยู่ภายใต้การดำเนินเรื่องของเวลาเขียนสคริปต์นั้นยังไง (หมายถึงส่วนที่บรรยายว่าตัวละครเดินไปไหน ทำอะไรบ้าง โดยไม่มีบทพูด) มันก็ต้องใช้เวลารื้อฟื้นสไตล์การเขียนอยู่สักหน่อย ผมว่าเฉพาะส่วนของโฮปอย่างเดียว ก็ใช้เวลา 30% ของเวลาทั้งหมดที่ผมเขียนนิยายเรื่องนี้แล้ว นอกจากโฮป ตอนของโนเอลก็มีโทนเรื่องต่างไปจากของคนอื่น ๆ เพราะความรู้สึกผิดที่เขาแบกรับมาตลอดหลังจาก FFXIII-2 ผมเลยต้องใช้เวลาพอสมควรในการคิดว่าจะเขียนออกมายังไง

ไม่มีความคิดเห็น