ประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลงใน Dirge of Cerberus ญี่ปุ่น-อเมริกา


จากเรื่อง Dirge of Cerberus -Final Fantasy VII- เมื่อวาน นึกได้ว่ามีเรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับการวางจำหน่ายของเกมนั้นมาเล่าให้ฟัง

- เกมนี้วางจำหน่ายวันที่ 26 มกราคม 2006 (คั่นกลางระหว่าง KHII กับ FFXII) วันเดียวกับ Onimusha -Dawn of Dreams- โดยก่อนหน้านั้นทั้งสองเกมนี้ก็แข่งกันโปรโมท ทั้งเทรลเลอร์ นักร้อง เพลงประกอบ ฯลฯ ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ช่วงนั้นใครที่เล่นทั้งสองเกม ก็ต้องเสียเงินซื้อทั้งคู่ แล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเล่นเกมไหนก่อน... 

- ผลการปะทะกันด้านยอดขาย Onimusha ที่กระแสสู้วินเซนต์ไม่ได้ ขายได้เพียง 3 แสนชุดในญี่ปุ่น ขณะที่วินเซนต์กดไป 5 แสนชุด ชนะสบาย

- อย่างไรก็ตาม Onimusha ก็ยังมีชัยในแง่ของเสียงตอบรับจากคนเล่นเกมและสำนักวิจารณ์เกมทั่วโลก โดยเกมนี้ได้รับ Metascore (คะแนนเฉลี่ยจากสำนักวิจารณ์เกมทั่วโลก) อยู่ที่ 81/100 เลยทีเดียว

- ส่วนคะแนนวิจารณ์ Dirge of Cerberus... ตอนนั้นเป็นที่น่าแปลกใจมากเพราะในขณะที่แฟมิซือลงคะแนนวิจารณ์ Onimusha ไปแล้ว แต่กลับไม่ลงคะแนนวิจารณ์ Dirge of Cerberus ...หลายคนก็งงและสงสัยว่ามันเป็นเพราะอะไร? เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จนกระทั่งเกมทั้งคู่วางจำหน่ายมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว แฟมิซือจึงพึ่งลงคะแนนวิจารณ์ Dirge of Cerberus ซึ่งได้เพียง 28/40 คะแนน น้อยมากจนเรียกว่าเป็นประวัติการณ์ของซีรีส์นี้ได้เลย แฟน ๆ จึงคาดเดากันว่าสาเหตุที่แฟมิซือลงคะแนนเกมนี้ล่าช้า ก็เพราะไม่อยากให้กระทบกับยอดขายของเกม (ไม่รู้ว่าแฟมิซือเกรงว่าจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์กับ SQEX หรือว่าโดนทางค่ายขอมากันแน่)

- ด้านคุณทาคาโยชิ นาคาซาโตะ ผู้กำกับ Dirge of Cerberus หลังจากกำกับเกมนี้แล้ว ก็ไม่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้กำกับใหญ่ของเกมใดอีก (ปัจจุบันทำหน้าที่ Planning Director ของ FFXV)

- ตัวเกมมีโหมดออนไลน์... โดยโหมดออนไลน์ก็เล่าเนื้อเรื่องของพวก Deep Ground Soldier ก่อนจะเริ่มเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลัก (ซึ่งเนื้อเรื่องในโหมดออนไลน์แจ๋วดี) แต่ด้วยปริมาณคนเล่นที่ !@#$%^& ทำให้ทางค่ายตัดสินใจปิดโหมดออนไลน์ลงในวันที่ 29 กันยายน 2006 หลังจากเปิดให้บริการมาได้เพียง 247 วัน

- ส่วนผมเอง ได้หาแผ่นมาเล่นตั้งแต่วันวางจำหน่ายเกมวันแรก (26 ม.ค. 2006) ด้วยความสดในตอนนั้น มาถึงก็กดเข้าโหมด Hard อย่างไม่ลังเล... ก่อนจะต้องสบถ Holy Shit!! Stupid and Motherfucker!@#$ ไปตลอดเวลาที่เล่น.... คือก่นด่าระบบต่าง ๆ ไปตลอดเวลาที่เล่น และที่อึ้งที่สุดคือเวลากดเข้าเมนูแล้ว ตัวเกมไม่ได้หยุดตามไปด้วย หมายความว่าในขณะที่เข้าเมนูเพื่อเปลี่ยนเซตติ้ง เราก็ต้องบังคับวินเซนต์วิ่งหลบกระสุนไปด้วย (เป็นเฉพาะโหมด Hard)

- สุดท้ายในการเล่น Hard รอบแรก ผมไปตันที่รอสโซ่ แชปเตอร์ 9 เล่นวนอยู่ชั่วโมงกว่าก็ไม่ผ่าน... เลยรีบตัดสินใจ เริ่มเกมใหม่ที่โหมด Normal แล้วก็เล่นฉลุย จนไปจบเกมช่วงเย็นวันที่ 27 ม.ค. 2006 ...จากนั้นผมก็ไปอ่านเจอเงื่อนไขการเอาฉากจบลับจาก GameFaqs เลยรีบไปเล่นเอาฉากจบลับ ก่อนจะตะลึงกับเนื้อหามาก ในประเด็นที่ว่าเรื่องราวของ FFVII ยังไม่จบลงตรงนี้

- (หลังจากจบเกมไปรอบนึงแล้ว ผมก็มานั่งเล่นใหม่ให้ครบทุกโหมด พอเล่นเก่งขึ้นจนถึงระดับนึง ก็เล่นจบโหมด Hard ได้เอง)

- ผมคือคนที่คืนวันที่ 27 ม.ค. 2006 ไปตั้งกระทู้ Spoiler Alert เขียนตัวหนังสือโต ๆ โวยวายตามบอร์ดต่าง ๆ เองว่าเรื่องราวใน FFVII มันยังไม่จบ... แล้วก็เล่าว่าฉากจบลับเป็นยังไง (ตอนนั้นในบอร์ดต่าง ๆ ของไทย ยังไม่เห็นใครที่พูดว่าเล่นจบแล้ว) ซึ่งพอแฟน ๆ หลายคนรู้ว่า FFVII โดนยืดเรื่องออกไปอีก ก็ Holy Shit!! Stupid and Motherfucker!@#$ พอกัน...

- จากนั้นมา พอแฟน ๆ หลายคนได้เล่นเกมนี้ ไม่ว่าไทยหรือเทศ ก็มีกระแสไปในทางเดียวกันว่า.... "บัดซบ" ทั้งสำนักวิจารณ์เกมในญี่ปุ่น ทั้งแฟนทั่วโลกเองต่างมองไปในทางเดียวกัน ทางค่ายจึงรับรู้ถึงฟีดแบ็คตรงนี้เป็นอย่างดี จึงได้มีการปรับปรุงเกมเพลย์ขนานใหญ่ ก่อนจะวางจำหน่ายตัวเกมให้กับฝั่งตะวันตก

- ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเกมเวอร์ชั่นตะวันตก มีประมาณนี้

1. ตัดโหมดออนไลน์ที่แสนร้างในภาคญี่ปุ่น และใส่โหมดมิชชั่นพิเศษมาแทน

2. ภาคญี่ปุ่น เวลาเล็งเป้า มุมกล้องจะเปลี่ยนเป็นมุมมองเหนือไหล่ ที่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นค่อนข้างแคบ ทำให้วิ่งไปยิงไปลำบาก, แต่ในภาคอังกฤษ เวลาเล็งเป้า มมุมกล้องจะซูมออกไปด้านหลัง ทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวดีขึ้น นี่คือจุดที่ดีขึ้นมาก

3. ภาคอังกฤษ วินเซนต์กระโดด 2 ชั้นได้, ภาคญี่ปุ่นกระโดดได้ชั้นเดียว

4. ภาคอังกฤษ วินเซนต์แดชได้ ในขณะที่ภาคญี่ปุ่นต้องกลิ้งเป็นลูกขนุนอย่างเอื่อย ๆ

5. ภาคอังกฤษ วินเซนต์วิ่งไวขึ้น 1.2 เท่า การชักอาวุธต่าง ๆ ก็ไวขึ้น

6. ภาคอังกฤษ กระโดดยิงได้แล้ว กระโดดตีได้แล้ว

7. ภาคอังกฤษมีระบบ Semi-Auto Lock พอเลื่อนเป้าไปใกล้ศัตรู มันจะดูดเป้าเราไปเอง ทำให้ยิงง่ายขึ้นมาก

8. การใช้ลิมิต เปลี่ยนจากใช้ค่าเวทมนต์ มาเป็นการใช้ไอเทมแทน 

9. จากที่ภาคญี่ปุ่นมีโหมด Easy, Normal, Hard พอเปลี่ยนมาเป็นภาคอังกฤษ กลายเป็นโหมด Normal, Hard, Extra Hard โดยในโหมด Extra Hard นี้ศัตรูโจมตีแรงขึ้นกว่า Hard ของญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่วินเซนต์ในภาคอังกฤษมันเก่งขึ้นมาก ทำให้รวม ๆ แล้ว Extra Hard ของภาคอังกฤษ ก็ยัง "ง่ายกว่า" Hard ของภาคญี่ปุ่น

- อย่างไรก็ตาม... แม้ผมจะเล่นจบทุกโหมดทั้งภาคญี่ปุ่นและภาคอังกฤษ ก็ยังรู้สึกว่าภาคอังกฤษมันแค่พอเล่นได้ แต่ภาคญี่ปุ่น "มันคือขุมนรก"

- ในที่สุด สำนักวิจารณ์เกมทั่วโลก ก็พิพากษาคะแนน Metascore ให้เวอร์ชั่นอังกฤษของเกมนี้ 57/100 คะแนน ถือเป็น Final Fantasy ภาคที่ได้คะแนนวิจารณ์เกมย่ำแย่เป็นอันดับที่ 3 ของซีรีส์ เป็นรองแค่ FFXIV ออริจินอล (49 คะแนน) และ FF -All the Bravest- (25 คะแนน)

ไม่มีความคิดเห็น